Thursday, April 23, 2015

สถาปนิก IDOL รุ่นพี่ลาดกระบัง



เช้าวันพฤหัสบดี ที่ 16 เมษายน 2558   ได้มีโอกาศเดินทางไปยังบริษัท P A A Studio ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่อาคาร Q-House อโศก เพื่อไปสัมภาษณ์พูดคุยกับพี่ เดช หรือ พรเดช  อุยะนันทน์ เป็นรุ่นพี่สถาปนิกที่จบจากคณะสถาปัตลาดกระบัง  

การที่ได้ไปสัมภาษณ์รุ่นพี่ในครั้งนี้  เป็นการสร้างสายสัมพันธ์อันดีต่อรุ่นพี่รุ่นน้อง ได้ฟังประสบการณ์การทำงานของพี่ในถานะ สถาปนิก และแง่คิดมุมมองต่างๆที่สามารถนำมาปรับใช้กับการเรียนและในอนาคตข้างหน้า



พี่เดชช่วยเล่าประวัติส่วนตัวคร่าวๆให้ฟังหน่อยค่ะ :
                “พี่เข้าศึกษาที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง เมื่อปี 2528 จบการศึกษาปี 2533 หลังจากจบการศึกษาไม่ได้เรียนต่อที่ไหน ได้เข้าทำงานที่บริษัท Design 103 เลย ซึ่งการทำงานที่นี่ทำให้ได้เรียนรู้การทำงานของบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งมีงานหลากหลาย ที่นี่กล่อมเกลาพี่ในเรื่องเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการออกแบบมากมาย

ประสบการณ์การทำงานของพี่เดช :
บริษัท P A A Studio 10 ปี
: PIA 7 ปี
Freelance 4 ปี
: Design 103 Architect 10 ปี
พี่เดชทำงานที่ Design103 อยู่ 10 ปี ทำทุกอย่าง ตั้งแต่เขียนดรออิ้งห้องน้ำ ที่จอดรถ ระยะของเครื่องสุขภัณฑ์  ทำเปเปอร์เวิร์ค การทำแบบขออนุญาติ ไปจนถึงตึกสูง ซึ่ง10ปีที่พี่เดชทำงานที่บริษัทนี้ กล่อมเกลาพี่ในเรื่องเกี่ยวกับรายละเอียด  เราจะดีไซน์ตึกไม่ได้ถ้าเราไม่รู้รายละเอียดไดเมนชั่นเล็กๆน้อยๆนี้ เพราะฉนั้น เราต้องสนใจ ต้องนำเอาดรออิ้งที่มีอยู่แล้วมาศึกษา ระยะไดเมนชั่นต่างๆ ต้องมีความสนใจ 
                  หลังจาก 10 ปีผ่านไป เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ฟองสบู่แตก ช่่วงนั้นพี่เดชรับงานนอกมากมาย และทำงานบริษัทไปด้วย ซึ่งงานเยอะมากจนทำงานออฟฟิศไม่ไหวผนวกกับเศรษฐกิจที่ไม่ดี พี่เดชจึงลาออกมาทำเองเป็น Freelance อยุ่ 4 ปี งานที่ได้ส่วนใหญ่จะได้คอนเน็คชั่นจาก Design 103 พี่ทำบ้าน 12 หลัง ตอนนั้น PIAซึ่งเป็นบริษัทอินทีเรีย มีโปรเจคสำนักงานใหญ่ ได้เรียกพี่เดชให้ทำโปรเจคธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ โดยพี่เดชเป็นคนดูภาพรวม ตั้งแต่นั้นก็ได้ทำงานที่ PIA อยู่ 7 ปี และแยกตัวมาเปิด section จากPIA มาเป็น Paa studio จนถึงทุกวันนี้ก็ครบ 10 ปีแล้ว 
                  
ลักษณะการทำงานของพี่เป็นอย่างไรคะ :
                ทุกวันนี้ พี่เดชทำงานในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการบริษัท Paa Studio โดยออฟฟิศเราเป็นออฟฟิศออกแบบ เราไม่ได้รับเหมาก่อสร้าง ทุกวันนี้เราก็ทำงานออกแบบอยู่ ซึ่งพอมีออฟฟิศเป็นของตัวเอง เราก็ต้องบริหารควบคู่ด้วย แต่เราก็ทำจากเล็กไปใหญ่ ไม่ใช่เปิดบริษัทมาก็คุมงานใหญ่เลย เริ่มจากเล็กๆ พนักงานไม่เยอะ จนพนักงานมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ นอกจากทำงานออกแบบแล้ว เรายังต้องทำงานในด้านบริหารด้วย ซึ่งทำงานมาเรื่อยๆก็อาศัยประสบการณ์ โดยไม่ได้เรียนบริหารโดยตรง แต่ด้วยประสบการณ์ก็นำมาพลิกแพลงจนบริหารได้

งานหรือผลงานที่พี่คิดว่าเป็นตัวอย่างที่ดีคืออะไรคะ :
                " ออกแบบไม่ใช่เรื่องหน้าตาอย่างเดียว" แต่ออกแบบต้องคำนึงถึงฟังชั่นด้วย และเราทำตามความต้องการของเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นอาคารพักอาศัยหรืออาคารอะไรก็แล้วแต่ 

ปัญหาอะไรบ้างที่พี่เดชเคยเจอในการทำงานคะ :
                มีมาตลอด มีทุกๆโปรเจคครับ เอาเรื่องหลักๆที่พี่เคยพบเจอมานะ จะเล่าให้ฟัง มีครั้งนึงเป็นปัญหาที่ โอ้โหว พี่เดชไม่รู้จะทำยังไง คือเรื่อง"โฉนดที่ดิน" คือวลาเราได้มา ก็จะเป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีสเกล เราเอาไปสแกน แล้วเขียนออโต้แคด แล้วเราทราบพื้นที่ว่ากี่ไร่ กี่ตารางวา แต่ทีนี้เขาไม่ได้ให้สารบัญโฉนดมา พี่เดชก็เริ่มออกแบบเรือนไทยไป 6 unit เรียบร้อย เสร็จไปยื่นแบบขออนุญาต แต่เจ้าหน้าที่บอกไม่มีแปลงเล็กแนบมา พี่เดชบอกว่า แปลงเล็กอะไรครับ เขาบอกว่า แปลงนี้มีการแบ่งขายไป 100 ตารางวา โอ้โห พี่เดชหน้ามืดโดนนายด่า ที่หายไป 100 ตารางวา ทำไมรู้มั้ยครับ โฉนดเนี่ย แปลงที่ลูกค้าเอามาให้ เขาเรียกแปลงคง ไม่รู้น้องรู้จักมั้ย ประเด็นที่พี่เดชจะบอกคือ ให้จำไว้ว่า ถ้าคุณได้โฉนดมา คุณต้องขอ สารบัญโฉนดด้วย ว่า สารบัญนี้จะแบ่งที่ดินไว้แล้ว แต่แปลงคงนี้จะไม่มีการแบ่งคุณจะมองไม่เห็น ทำให้การทำงานผิดพลาดได้มหาศาลครับ

พี่คิดว่าสถาปนิกควรมีลักษณะและปฏิบัติตนในการทำงานอย่างไรคะ :
            สถาปนิกต้องออกแบบให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องคำนึงถึงบริบทรอบด้าน โดยไม่กระทบต่อวิถีชีวิตเดิมของพื้นที่เดิม พี่เดชว่ามันมีความลึกซึ้งกว่าแค่การออกแบบในเชิงD-conนะ



ข้อคิดที่สำคัญในการทำงานคืออะไรคะ :

                พี่คิดว่านักออกแบบต้องใส่ใจในรายละเอียดให้มากๆ หัดเป็นคนช่างสังเกต เพราะสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญต่องาน และต้องมีความละเอียดรอบคอบด้วยครับ



อยากให้พี่ช่วยเล่าถึงบรรยากาศสมัยเรียนที่ลาดกระบัง การใช้ชีวิตและกิจกรรมในคณะว่าเป็นอย่างไรบ้างค่ะ :
                พี่ก็ทำกิจกรรมรับน้อง ซึ่งสมัยพี่ปี 2 จัด แล้วกิจกรรมอีกอย่างที่เขารับน้องรวมที่ไปต่างจังหวัดหน่ะ ที่เรียกมีตติ้งใช่มั้ย ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม  พี่ว่ามีตติ้งนี้ดีมาก คือทำให้เราได้รู้จักรุ่นพี่ ทั้งของภาคสน ศอ นิเทศ ทำให้เราจบออกมาแล้วในวงการก่อสร้างหน่ะ เราก็จะรู้จักพี่คนนู้นคนนี้  เมื่อทำงานเเล้วได้ไปบริษัทใหญ่ๆก็ได้เจอได้รู้จักพี่ที่เคยรู้จัก ซึ่งมีกิจกรรมนี้ก็ได้รับคำสอนคำเดือนจากพี่ได้โดยตรง แต่ถ้าไม่มีกิจกรรมนี้ เราเหมือนไม่ได้รู้จักคนอื่นจากภาคอื่นๆเลย รู้จักกันแต่ในรุ่นเราเท่านั้นซึ่งก็ไม่ดีนะ 
                 อีกอย่างความทรงจำที่พี่เดชประทับใจต่อลาดกระบัง คือเรื่องสถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่นที่อาจารย์จิ๋วสอน มันมีอะไรหลายๆเรื่องที่เกี่ยวกับการดีไซน์ที่ที่อื่นอาจจะไม่มีสอน คือพี่เดชคิดว่าที่ได้ประโยชน์อย่างมากจากวิชานี้ คือการออกไปดูงานนอกสถาบัน และอาจารย์พาไปดูวัด พาไปดูตลาดน้ำ พาไปดูงานครูบาอาจารย์ที่เป็นของโบราณ มันจะมีเรื่องงานดีไซน์ที่เรียนในห้องฟังแล้วก็ไม่เห็นภาพ ไม่คล้อยตาม แต่พอได้ไปดูของจริงแล้วเนี่ยมันทำให้เราเกิดความรู้มากกว่า เหมือนกับว่าสถานที่นั้นจะมีทุกเรื่องราวครบ สถานที่นั้นๆจะช่วยสอนเราเอง โดยอาจารย์จิ๋วจะชี้แนะให้เรามองเห็น  ซึ่งเออกไปเราก็จะได้บรรยากาศ ก็ไปดูงาน ทำให้รุ่นๆพี่เดชนั้นรักในงานพื้นถิ่นเป็นส่วนใหญ่ ได้เห็นงานที่มีคุณค่า พอมาทำงานก็จะได้รับอิทธิพลจากงานที่อาจารย์พาไปดู มาดีไซน์

พี่คิดว่าสถาปนิกรุ่นใหม่ที่จบจากลาดกระบังมีคุณภาพอย่างไรคะ :
พี่เดชรู้สึกว่า น้องๆรุ่นใหม่อ่อนในเรื่องคอนกว่ารุ่นก่อนๆนะ แม้แต่ถามระยะ ไดเมนชั่น ขนาดมาตรฐานที่ควรจะรู้ แต่กลับไม่ค่อยมีน้องคนไหนรู้ พี่เดชก็สงสัยนะว่าเกิดอะไรขึ้น 

พี่เดชอยากให้ภาตวิชาปรับปรุงอะไรบ้างไหมคะ :
พี่เดชอยากให้การเรียนการสอนเน้นในเรื่องของดีเทล รายละเอียดให้มากขึ้น  อย่างเช่นการตัดโมเดลคอน ให้ตัดแบบโมเดลขยาย หรือแบบขยายต่างๆ ระยะมาตรฐาน การวางฟอร์เดรน การติดตั้งระยะเท่าไหร่ พี่เดชอยากให้ใส่ใจกับรายละเอียดให้มากกว่านี้


สุดท้ายต้องขอขอบคุณ พี่เดช หรือพี่ พรเดช อุยนันทน์ ที่ให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ค่ะทำให้ได้ข้อคิดต่างๆมากมาย เพื่อนำไปเป็นแนวทางการเรียนและเตรียมตัวเป็นสถาปนิกที่ดีในอนาคตค่ะ



Thursday, March 19, 2015

รองศาสตราจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร


รองศาสตราจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร

ประวัติ

อ.แสงอรุณ รัตกสิกร
เกิดเมื่อวันที่: ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ที่ตำบลดงพระราม จังหวัดปราจีนบุรี 
บิดา: พ.อ.พระยาวิเศษสิงหนาท (สาหร่าย รัตกสิกร) 
มารดา: คุณหญิงระเบียบ วิเศษสิงหนาท (สกุลเดิม คงพันธุ์) 
มีพี่น้อง: ๖ คน าจารย์เป็นคนที่สาม ได้แก่ 
       ๑. นายแพทย์ ระวิรัศ รัตกสิกร
 ๒. น.ส. นวลจันทร์ รัตกสิกร
 ๓. นาย แสงอรุณ รัตกสิกร
 ๔. น.ส. แสงจันทร์ รัตกสิกร
 ๕. น.ส. ศรีจันทร์ รัตกสิกร
       ๖. นาย อุทัย รัตกสิก 





การศึกษา 

ระดับชั้นประถมศึกษาเรียนหนังสือที่ : นครสวรรค์ 
ระดับมัธยม : โรงเรียนสวนกุหลาบและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาตามลำดับ
ระดับอุดมศึกษา : เรียนจบปริญญาตรี สถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต (สถ.บ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
รับราชการ : ตำแหน่งอาจารย์ตรี เงินเดือน ๑๔๐ บาทในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาโท : ทุน ก.พ. ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ๒ ปี  สถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต 
          (Master of Architecture) มหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา

 หลังจบการศึกษาจากคอร์เนล อ.แสงอรุณมีโอกาสไปใช้ชีวิตและฝึกงานอยู่กับสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกาและของโลก “มหาพรหม” แฟรงค์ ลอย ไรท์ (Frank Lloyd Wright, ค.ศ. ๑๘๖๗-๑๙๕๙) ในสำนักทาไลซินตะวันออกบนเนินเขาวิสคอนซิ่นและทาไลซินตะวันตกในทะเลทรายอะริโซน่า 

อ.แสงอรุณแต่งงานกับลดา สีบุญเรือง มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน เมื่อเขากลับมาเมืองไทยก็รับราชการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยตามเดิม จวบจนตำแหน่งรองศาสตราจารย์ระดับ ๙ ตำแหน่งสุดท้าย เงินเดือน ๑๐,๖๘๐ บาท


อุปนิสัย

ท่านเป็นอาจารย์ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง สอนให้นักศึกษารักศิลปะและธรรมชาติสอนสนุกมีสีสัน ครั้งหนึ่ง ท่านได้วิจารณ์และอธิบายสถาปัตยกรรมแบบโกธิคให้นักศึกษาฟังว่า 

“สูงประหนึ่งสามารถเอามือไปเกาตีนพระเจ้าได้ ฉันนั้น”


ท่านเป็นอาจารย์นอกรีต ใส่เสื้อปล่อยชาย ไม่ผูกเน็คไท ไว้หนวดเครารุงรัง จนอาจารย์บางคนรับไม่ได้หาว่าแต่งตัวไม่สมกับสถานะอาจารย์ เขาย้อนกลับเรียบๆ ว่า 

“คุณไปบอกอาจารย์พวกนั้นให้มาทำงานตรงเวลาดีกว่า!”


นอกจากอาจารย์แสงอรุณจะเป็นสถาปนิกและอาจารย์ที่เข้าใจในธรรมชาติ ปรัชญา ศิลปะ 
และสถาปัตยกรรมอย่างลึกซึ้งแล้ว 

ท่านยังเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลายแขนง ไม่ว่าจะวาดรูปสวยระดับจิตรกรเอก 
เป็นประติมากรด้วย 

อาจารย์เป็นผู้มีวาจาเฉียบคมพอๆกับเขียนหนังสือได้เฉียบคมและสละสลวย เต็มเปี่ยมวรรณศิลป์ 
ที่สำคัญที่สุดอาจารย์เป็นคนรักธรรมชาติและมีความเป็นไทยอย่างที่สุด


อ.แสงอรุณ รัตกสิกร ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันที่บ้าน ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน 
โดยไม่มีอาการป่วยใดๆล่วงหน้า 
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ รวมอายุได้ ๕๖ ปี ๘ เดือน ๒๖ วัน


การทำงาน

  • สิงหาคม 2497 ตำแหน่งอาจารย์โท
  • 20 กรกฎาคม 2503 ตำแหน่งอาจารย์เอก
  • 30 ตุลาคม 2511 ตำแหน่งชั้นพิเศษ
  • ตุลาคม 2512 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์
  • ตุลาคม 2519 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 7
  • มิถุนายน 2520 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 8
  • 22 พฤษภาคม 2522 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 9



ผลงาน

ด้านงานเขียน

ผลงานเขียนหนังสือเช่น เเสงอรุณ๒ (๑ในหนังสือร้อยเล่มที่คนไทยควรอ่าน) ตึก ,ต้นไม้, และแสงอรุณ,ทรรศนะอุจาด .แสงอรุณแห่งสถาปัตยกรรม "เรณู - ปัญญา" เที่ยวรถไฟ,อนุสาวรีย์ที่ไทยทำ โดยส่วนใหญ่ท่านใช้นามจริง เว้นบางเรื่องใช้นามปากกาว่า ส.รัตกสิกร ท่านยังมีฝีมือในการเขียนภาพลายเส้น นิสัยรักธรรมชาติและการศึกษาค้นคว้า เป็นผู้เผยเเพร่ความรู้เรื่องอนุรักษ์ศิลปะและสิ่งเเวดล้อมที่ดีเยี่ยมผู้หนึ่ง
                 หนังสือแสงอรุณแห่งสถาปัตยกรรม หนังสือ ตึก ต้นไม้ และแสงอรุณ
 
 ภาพหนังสือแสงอรุณ 1 และ แสงอรุณ 2
(จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกในงานศพของท่านอาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร)



ด้านงานภูมิสถาปัตยกรรม

ผลงานออกแบบสวนรัฐสภา และออกแบบงานประติมากรรมในสวนแห่งนี้ด้วย





เอกภาพของสวนกำหนดขึ้นเป็นจุดศูนย์กลางของบริเวณด้วยรูปศาลาซึ่งหนีไม่พ้นแบบศาลาทรงไทยเดิม โฉมของอดีตแบบนี้เห็นจะต้องใช้กันอีกนาน อาจจะตลอดไปก็ได้ เพราะงานสถาปัตยกรรมปัจจุบันของไทยเรานี้  ไม่อาจให้ผลที่คนทั่วไปยินยอมรับอย่างพอใจ ว่าเป็นผลงานที่แสดงเอกลักษณ์ของไทย สถาปนิกปัจจุบันก็ได้พยายามกันมามากต่อมากในการแสวงหาและแสดงออก ซึ่งงานสถาปัตยกรรมอันแสดงเอกลักษณ์ของไทยยุคนี้ ซึ่งเป็นผู้รับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษไทยแต่ก็ยังไม่สำเร็จกันสักรายเดียว
           
           ถึงจะใช้รูปทรงเดิมที่เป็นผลผลิตของอดีตสถาปนิก ศาลาไทยในสวนรัฐสภาหลังนี้ก็พยายามใส่อิริยาบถหลายอย่างลงไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แปลกไปกว่าของเก่า การมุงหลังคาทั้งผืนแผ่นทองแดง เพื่อให้หลังคาทนขึ้น  และให้ผลเมื่อรับแสงแดดเป็นประกายวาบวับ  “เพื่อให้รสสัมผัสใหม่” หรือการที่หุ้มจุดชำรุดง่ายที่ยอดของปั้นลม และที่ปลายล่างของปั้นลมด้วยทองแดงสลักลายนูน  สูงขึ้นทำให้เกิดผลการเปรียบเทียบระหว่างไม้และโลหะเมื่อทอดตาไปสัมผัส ปั้นลมหางปลาเพื่อแก้ปัญหาการผุกร่อนในการต่อไม้  และเพื่อผลในการแสดงสัจจะของรูปหรือการบรรจุหน้าบันโลหะชุบเงิน  รูปสามเหลี่ยมเล็กลงในแนวเดียวกับปั้นลมเหล่านี้ทำให้เกิดอริยาบทใหม่ขึ้นในรูปทรงเก่า  เป็นการพยายามอันหนึ่งที่เสนอต่อผู้ดูเพื่อพิจารณาตัดสินอาจจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อย  และกระดิกได้ไม่เท่าไหร่  ก็เต็มบริเวณเสียแล้วก็ได้แต่ก็พยายามที่จะ “กระดิกเพื่อให้เห็นว่ายังไม่ “สิ้นลม”  เสียโดยสิ้นเชิงหรือลอกของเก่าอย่างไม่ลืมหูลืมตา



ด้าน CERAMIC MURAL PAINTING(อาคารเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน)




 ศิลปกรรมภาพผนังเคลือบดินเผากลางแจ้ง (CERAMIC MURAL PAINTING)ประดับอยู่บริเวณอาคาร โดยงานเซรามิค ทั้ง ชิ้นนี้ อาจารย์แสงอรุณได้ออกแบบและติดตั้งควบคู่ไปกับกรสร้างอาคารเรียน   ส่วนสาเหตุที่อาจารย์แสงอรุณ มาสร้างภาพเซรามิคให้โรงเรียนนั้น เป็นเพราะทางโรงเรียนต้องการศิลปะที่ทันสมัยแฝงความเป็นไทย และคงอยู่ได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ให้สมกับที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนจะต้องมองไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาสิ่งที่ ดีกว่า ประกอบกับอาจารย์แสงอรุณ
     งานภาพผนังเคลือบดินเผาทั้ง ชิ้นนี้จัดเป็ฯศิลปะแบบ Visual Art คือสื่อความหมายทางตา มีทั้งส่วนที่เรียบง่าย และส่วนที่เป็นกึงนามธรรม (Semi Abstract) ซึ่งงานลักษณะนี้ จัดเป็นงานสร้างสรรค์ ไม่ใช่งานลอกเลียน หรือเขียนให้เหมือนจริง และที่สำคัญทำให้ผู้ดู ดูแล้วเกิดความคิด ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า หรือตั้งคำถาม ถามตนเอง ดูว่าสิ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ถึงแม้แต่ละคนจะรู้สึกสัมผัสได้ไม่เท่ากันก็ตาม เช่นชาวคริสต์จะสัมผัสได้ในแนวทางหนึ่ง ส่วนคนที่สนใจในศิลปะก็อาจจะสัมผัสได้ในอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งก็นับว่างานหเหล่านี้มีคุณค่าทางศิลปะแฝงอยู่ในตัว
      นอกจากนี้การใช้ความคิดริเริ่ม เพื่อจะสื่อผลงานศิลปะในแนวจิตกรรมให้คงอยู่คู่กับสถาปัตยกรรมอย่างถาวรนั้น การใช้ภาพผนังเคลือบดินเผาจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะทนแดดทนฝน เหมาะกับการตั้งนอกอาคาร อาจจะกล่าวได้ว่าวิธีนี้เป็นการนำแนวศิลปะในรูปแบบต่างๆมารวมไว้ด้วยกัน ทั้งศิลปะกับชีวิตประจำวันและศิลปะกับสิ่งแวดล้อม ทำให้งานชิ้นน้จัดได้ว่ามีคุณค่าทางการออกแบบด้วย
      จะเห็นได้ว่าผลงานเซรา มิคของอาจารย์แสงอรุณนั้นเป็นงานที่มีคุณค่าทางประวัติสาสตร์ คุณค่าทางด้านศิลปะ และคุณค่าทางด้านออกแบบ ซึ่งความหมายแท้จริงที่แฝงอยู่ในตัวผลงานเหล่านั้น คงไม่มีใครบอกได้ดีเท่ากับตัวของอาจารย์แสงอรุณเอง แต่น่าเสียดายปัจจุบันอาคารแห่งนี้ถูกทุบทำลายเพื่อสร้างอาคารเรียนใหม่แล้ว คงเหลือแต่ความทรงจำเท่านั้นเอง


ด้านงานเขียนภาพบางส่วน

อ.แสงอรุณ ได้รับอิทธิพลในการวาดภาพดินสอ และยกย่อง ทีโอดอร์ คอสกี้ ชาวฮังการี เป็นครูใหญ่ในการวาดภาพ Outdoor sketch เพราะ ทีโอดอร์ คอสกี้เป็นผู้ที่ขยายขอบของภาพเขียนดินสอออกไปโดยการเหลาดินสอแบนแบบปากเป็ด ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของท่านอย่างแท้จริง

                   ภาพ คตทินกร   ภาพวาดอาจารย์นารถ โพธิประสารท


 เจ้าพ่อประตูผา,ลำปาง(ต้นฉบับ 10นิ้วครึ่งx17 นิ้ว)

ภาพซ้าย จาก Reproduction 
ภาพขวาบน หมอกตก,ทางไปเชียงคำ(ต้นฉบับ 14x14 นิ้ว)
ภาพขวาล่าง ผาหมี,เชียงราย (ต้นฉบับ 14x14 นิ้ว)

กัณฑ์ทศพร ผลงานภาพปฏิทิน

ผลงานภาพเขียนสีน้ำ

ผลงานกับวารสาร "สิ่งแวดล้อม"


อาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร
เป็นทั้งสถาปนิก ศิลปิน นักเขียน ผู้ซึ่งมีความสามารถหลากหลาย 
ผลงานของท่านยังคงคุณค่าควรแก่การที่สถาปนิกทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ 
และผู้ใฝ่รู้ทั้งหลายจะได้มีไว้เพื่อศึกษาและยึดถือนำไปปฏิบัติ 

ท่านเป็นผู้มีความเข้าใจในธรรมชาติ วิถึชีวิตแบบไทย 
 เป็นศิลปินผู้มีความจริงใจ ผู้ซึ่งน่ายกย่องเป็นอย่างมากท่านหนึ่ง


Thursday, January 22, 2015

ชีวิตของข้าพเจ้าและวิชาชีพสถาปนิกในทรรศนะคติของข้าพเจ้า กับแผนอนาคตชีวิตในการเป็นสถาปนิกในวันข้างหน้า







ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด มาจากดินแดนถิ่นอีสานเมืองอุบลราชธานี พ่อฉันเป็นคนปักษ์ใต้ชาวจังหวัดสุราษธานี ส่วนแม่เป็นคนอุบลฯโดยกำเนิด พ่อกับแม่เรียนมหาลัยด้วยกันที่มศวและพบรักกันที่นั่น พอเรียนจบแต่งงานได้ทำงานเลี้ยงตัวในกรุงเทพฯ พ่อทำงานราชการที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่วนแม่เป็นอาจารย์ที่ม.บางมด ทั้งสองทำงานจนมีเงินพอจะผ่อนบ้านทาวเฮ้าส์หลังหนึ่ง ไม่นานแม่ก็ตั้งท้องพี่ชายคนโตของบ้าน พี่ฉันเกิดที่กรุงเทพฯ ต่อมา แม่ต้องการย้ายกลับไปอยู่บ้านที่อุบลราชธานีเพื่อดูแลตากับยาย พ่อจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กับแม่  และทิ้งบ้านไว้ให้คนเช่า พ่อก็รับราชการต่อที่ศูนย์การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดอุบล ส่วนแม่ก็ได้เป็นอาจารย์สอนคณะรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หลังจากย้ายมาอยู่อุบลฯได้ 3 ปี ก็มีฉันโผล่มาดูโลกเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2534 ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิพสงค์ จังหวัดอุบลฯ ดังนั้นฉันจึงเกิดและโตมากับที่นี่เป็นต้นมา





















ชีวิตวัยเด็ก เป็นชีวิตที่ราบรื่นสนุกสนาน ด้วยความที่มีพี่ชาย จึงมักจะเล่นอะไรที่ค่อนข้างแมน ไม่ว่าจะมวยปล้ำ เกมเพล ดีดลุกแก้ว เตะบอล ชูทบาส ก็เล่นตามพี่ไปหมด  ถึงกระนั้นฉันค่อนข้างเป็นน้องสาวที่กลัวพี่เพราะสมัยเด็กๆพี่ตัวอ้วนและตัวใหญ่ แต่อย่างไรพี่ชายก็คอยดูแลปกป้องฉันมาตลอด ฉันอยากกินอะไร พี่มักจะเป็นคนไปซื้อให้ ฉันจึงกลายเป็นเด็กขี้กลัว ไม่กล้าแม้แต่จะไปซื้อขนมด้วยตัวเอง แต่พี่และฉันก็มีทะเลาะกันบ้าง เมื่อทะเลาะจนเกิดการร้องไห้ ไม่ว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด พ่อก็จะไปหาก้านมะยมมาตีฉันกับพี่ทั้งคู่ เพื่อความเท่าเทียมและยุติสงครามให้เร็วที่สุด

ชีวิตวัยเรียนช่วงประถม ฉันมีโอกาศได้เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี โรงเรียนประจำจังหวัด 


ระหว่างเรียนฉันรู้ตัวว่าชอบวิชาพละมากที่สุด เพราะตั้งแต่เด็ก พ่อมักจับพี่และฉันไปเล่นกีฬาโดยเฉพาะเทนนิส เนื่องจากพ่อเคยเป็นนักกีฬาเทนนิส และพ่อนี่แหล่ะเป็นคนสอนเทนนิสให้คนในครอบครัว และมักจะไปเล่นเทนนิสด้วยกันเกือบทุกๆเสาร์อาทิตย์ นับว่าเป็นกิจกรรมประจำสัปดาห์ของครอบครัว เพราะเหตุนี้ฉันจึงมีทักษะในการเล่นกีฬาค่อนข้างมาก เมื่อได้ลองจับกีฬาประเภทไหน ก็จะมีความชื่นชอบ ถึงแม้จะเล่นไม่เป็นก็จะพยายามเอาตัวเข้าไปคลุกคลี จนกระทั่งเล่นได้ชำนาน เพราะเป็นกิจกรรมที่ชื่นชอบที่สุด

นอกจากนั้น แม่มักจะเป็นคนผลักดันในเรื่องกิจกรรมค่อนข้างมาก แม่จับฉันให้เรียนรำตั้งแต่อนุบาล1 เพื่อที่ว่าฉันจะได้มีความสามารถพิเศษติดตัว และแม่ก็ยังจับให้ฉันเรียนดนตรีทั้งสากล ที่ฉันเลือกเรียนไวโอลินและดนตรีไทยที่ฉันเลือกเรียนขิม ฉันและพี่ได้เข้าชมรมดนตรีไทยประจำโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก พี่ชายเล่นระนาด ส่วนฉันเล่นขิม ไม่ว่าจะงานโรงเรียน งานประกวดแข่งขันดนตรี จนกระทั่งงานศพ ครูประจำชมรมมักจะเรียกให้ไปช่วยเล่นดนตรีไทยให้เสมอ เราสองคนจึงมีทักษะนี้ติดตัว จนกระทั่งนำไปใช้สอบความสามารถพิเศษเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช โรงเรียนประจำจังหวัดที่สอบเข้าค่อนข้างยาก



 เข้าสู่ชีวิตมัธยม เป็นชีวิตที่มีความอิสระมากขึ้น ตั้งแต่ฉันเริ่มหัดขับขี่มอเตอร์ไซด์เป็น ก็ได้ขับไปเรียนเองทุกวัน การเรียนในช่วงชั้นมัธยมต้น ฉันตั้งใจเรียนมาก เป็นเด็กหน้าห้อง ทำเกรดได้ค่อนข้างดี กิจกรรมก็ไม่ขาด อยู่ชมรมดนตรีไทย ตำแหน่งมือขิมคนงามนั่งหน้าวง เป็นที่รู้กันว่าเมื่อใดมีงานโรงเรียนหรือประกวดแข่งขัน ต้องขออนุญาติคุณครูเพื่อไปเล่นดนตรีไทยเสมอๆ  

ในขณะนั้น วิชาทางด้านศิลปะ ค่อนข้างมีความน่าสนใจสำหรับฉันพอสมควร ถึงจะเรียนสายวิทย์ แต่พอได้วาดรูป ทำงานศิลปะ ก็รู้สึกสนุกและทำได้ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ได้เน้นความสำคัญที่วิชานี้มาก เพราะตอนนั้นยังรู้สึกว่า อนาคตอยากทำงานสายอาชีพทางด้านสุขภาพ เช่น ทันตะ


แต่"จุดเปลี่ยน"แรกของชีวิตก็มาถึง เมื่อฉันได้มี"โอกาศ' ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ต่างแดน ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ม.1 และพ่อกับแม่ค่อนข้างสนับสนุนเรื่องภาษาเป็นอย่างมาก จึงให้โอกาศฉันได้ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ประเทศอังกฤษช่วงปิดเทอมกับโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้น




นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเดินทางโดยปราศจากครอบครัว และต้องใช้ชีวิตต่างแดนพบเจอคนต่างถิ่นเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน แต่ฉันก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ที่ได้ออกไปเห็นโลกกว้าง 

ที่อังกฤษฉันได้มีโอกาศไปสัมผัสเรียนที่ Solent Middle School ฉันรู้สึกว่าวิชาคณิตศาสตร์ง่ายมาก และมีความสุขสุดๆที่ได้แย่งเด็กฝรั่งยกมือตอบปัญหาคูณเลขแบบรัวๆ ซึ่งก็มีแค่วิชานี้ที่ดูเหนือกว่า พอเจอวิชาประวัติศาสตร์เข้าไปก็ถึงกับอึ้งเงียบ ฟังไม่ออก แต่ก็นั่งฟังเขาพูดไปเพลินๆไม่คิดอะไรมาก และฉันได้แสดงความสามารถในคืนCultureNightโดยการบรรเลงสีไวโอลินเพลงค้างคาวกินกล้วย และลอยกระทง พาฝรั่งรำวง สนุกสนานกันไป เมื่อกลับมาฉันรู้สึกตัวว่านิสัยเริ่มเปลี่ยนไป จากเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูด ก็เริ่มกล้าแสดงออกมากขึ้น  เริ่มมีความเป็นผู้นำมากขึ้น



ช่วงมัธยมต้น ฉันก็ใช้ชีวิตนักเรียนสายวิทย์-คณิตไปตามหลักสูตร ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อจะสอบเข้ามัธยมปลายโรงเรียนเดิม ซึ่งตอนนั้นก็ยังคิดว่าอยากเรียนทันตะอยู่ จึงแน่วแน่ว่าจะเรียนต่อสายวิทย์-คณิตอย่างแน่นอน เพราะเป็นสายที่คิดว่ามีโอกาศเลือกศึกษาต่อได้มากกว่า






ในที่สุด "จุดเปลี่ยน"ที่สองได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผ่านพ้นชีวิตมัธยมต้น มาสู่มัธยมปลาย ฉันสอบเข้าเรียนสายวิทย์-คณิตได้ดั่งใจหวัง ช่วงนั้นฉันสนใจอยากไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ และได้ปรึกษากับพ่อแม่ ทั้งสองก็เห็นสมควร และให้โอกาศฉันได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปีการศึกษา

ระหว่างที่ฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะวัฒนธรรม สังคม และโรงเรียน ซึ่งมีความแตกต่างจากบ้านเราอย่างมาก ฉันเรียนโรงเรียนไฮสคูลแห่งหนึ่งในเมืองFruitport รัฐ Michigan การศึกษาที่นั่นเน้นความเข้าใจ และปฏิบัติจริง สามารถเลือกเรียนวิชาที่ตัวเองสนใจได้อย่างอิสระ จัดตารางเรียนได้ตามความต้องการของนักเรียน โดยโรงเรียนนี้แบ่งเป็น3เทอม เทอมแรกฉันเลือกเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์โลก ศิลปะ และพละ ฉันมีความสุขมากกับอาร์ตคลาส เพราะวิชานี้ มีห้องเรียนที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทางศิลปะอย่างครบครัน มีทั้งชอปเซรามิกส์ ที่เราได้ออกแบบปั้นถ้วยชาม และเข้าเตาอบเซรามิกส์ออกมาเป็นโปรดักส์ ซึ่งมันน่าทึ่งมาก มีเทคนิคทางศิลปะมากมายให้ทำส่ง ฉันชื่นชอบมากๆ และงานของฉันได้นำไปตั้งโชว์อีกด้วย ฉันจึงเริ่มรู้ตัวว่ามีความถนัดทางด้านศิลปะอยู่พอสมควร และชืนชอบในการออกแบบอีกด้วย


การใช้ชีวิตที่อเมริกา ฉันได้เพื่อนใหม่ๆมากมาย
ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตลอดทั้งปี ตั้งแต่ฤดูร้อนยันหิมะตก มีสุขบ้างทุกข์บ้าง ต้องปรับตัวมากมาย ได้ทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำหรือไม่มีในประเทศไทยมาก่อน จึงเป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตที่น่าจดจำเป็นอย่างมาก









เมื่อกลับมาไทย ฉันต้องเรียนซ้ำชั้น1ปี เพราะการไปแลกเปลี่ยน จึงกลายเป็นป้าแก่สุดในชั้นเรียน ตอนนั้นฉันเริ่มคิดถึงการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ผนวกกับการเรียนที่ไม่สนุกกับวิชา เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ จึงเริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่า เราถนัดอะไร เราชอบอะไร จึงลงเอยที่ คณะสถาปัตยกรรม ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนั้น หลังจากนั้นฉันจึงไปหาที่ติว ให้เร็วที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าฉันสามารถไปในทางนี้ได้จริงๆหรือไม่ ฉันได้ไปติวที่กวดวิชาความถนัดสถาปัตที่กรุงเทพ ขยันเทียวไปเรียนช่วงปิดเทอมซัมเมอร์เมื่อได้ลองติวและเรียนทักษะความถนัดถาปัดแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าจะพอไปได้ จึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ซึ่งก็ได้สอบหลายสนาม

สนามแรกคือ บางมด ซึ่งแม่ก็เชียร์ให้เข้าที่นี่อยู่แล้วพราะเป็นหลักสูตรอินเตอร์และใกล้บ้านมากๆ(บ้านหลังแรกที่กล่าวตอนต้น) ซึ่งฉันก็สอบติด แต่ท้ายที่สุดทุกคนก็เห็นตรงกันว่า ค่าเทอม50,000บาทแพงเกินไป  ก็เลยลองสอบต่อที่อื่นอีกที ช่วงนั้นมีสอบตรงของจุฬา ฉันก็เลือกถาปัดอันดับแรก และทิ้งท้ายด้วยคุรุศิลป์ ซึ่งผลออกมาคะแนนถึงคุรุศิลป์จุฬา แต่ไม่ถึงถาปัด จึงตัดสินใจไม่ยื่น และหันมาลุ้นสอบตรงที่ลาดกระบัง สุดท้ายก็ทำสำเร็จ และได้เริ่มต้นชีวิตมหาลัยที่นี่








ฉันหลงรักที่นี่ ตั้งแต่ได้ยินเสียงกลองคณะวันแรกของการรับน้อง เนื่องจากฉันเป็นนักดนตรีไทยมาก่อน เมื่อได้ยินเสียงกลองทัดแล้ว รู้สึกได้ถึงความเท่และไม่เหมือนใครของที่นี่ ฉันว่ามันแปลกดี และลักษณะการรับน้องก็ดูมีความน่ารักและสร้างสรรค์ และยิ่งได้สัมผัสกับการเรียนการสอนแล้ว ฉันรู้ซึ้งถึงความดูแลเอาใจใส่เหมือนลูกเหมือนหลานของคณาอาจารย์ทุกท่าน และระบบพี่น้องก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจเช่นกัน ฉันดีใจมากที่ได้เข้ามาเรียนในที่ที่แสนอบอุ่นแห่งนี้




พอได้ทำความรู้จักกับสถานที่แล้ว เรื่องเกี่ยวกับทางด้านสาขาวิชาที่เรียน ยอมรับว่าโหดและหนักมาก แต่ปี1 ในความหนักหนาก็แฝงไปด้วยความสนุกสนานอยู่ ไม่ว่าจะวิชาวิชวล ดีไซน์ เป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก และด้วยกิจกรรมของคณะ ทำให้ฉันยังรู้สึกเพลิดเพลินกับการเรียนในสาขาวิชานี้อยู่พอควร

พอเข้าปี2 เมื่อเริ่มมีโปรเจคต่างๆรุมเร้าเข้ามา และวิชาคอนสตรักเจอร์ที่ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำให้เกิดอาการณ์ท้อ เริ่มมีความเครียด ช่วงแรกๆถึงกับร้องไห้โฮ เริ่มครุ่นคิดและตั้งคำถามว่าเรามาถูกทางแล้วหรือ เราจะเรียนรอดต่อไปได้หรือไม่ แต่ที่ทำให้ยังอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจที่บ้าน และความช่วยเหลือปรึกษาที่ดีจากพี่รหัส ที่ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาก ที่นี่ก็ดีเช่นนี้ด้วยระบบพี่น้องที่เหนียวแน่น และอาจารย์ที่ดูแลเอาใจใส่ ฉันจึงพยายามพัฒนาตนเอง และไม่คิดที่จะหันเหไปทางอื่น เพราะเชื่อว่าตัวเองยังพยายามไม่พอ จึงเริ่มเข้าหาเพื่อนคนที่เก่งๆ และให้เพื่อนช่วยสอนทักษะบางอย่างที่เราขาด ก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะไปต่อ







ช่วงปี 3 เป็นปีแห่งการหาโอกาส ฉันไม่รีรอที่จะหาช่องทางพัฒนาตนเอง เริ่มจากการสมัครเวิร์คชอปต่างๆที่เกี่ยวกับสาขาที่เรียนอยู่ และหางานประกวดแบบทำ ช่วงปิดเทอมก็ฝึกงานกับบริษัทเล็กๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยพิสูตรและย้ำเตือนฉันตลอดว่า ฉันยังสามารถอยู่กับมันได้ และสนุกกับมันได้เช่นกัน




ปิดเทอม 6 เดือนที่ผ่านมา ฉันตัดสินใจพิสูจน์ตัวเองในด้านประสบการณ์ชีวิตและการเอาตัวรอด จึงตัดสินใจฝึกงานเพื่อหาเงินเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศซักที่ด้วยตัวคนเดียว ในที่สุดฉันฝึกงานอยู่3เดือนเต็มจนเก็บตังได้ และเลือกที่จะไปประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลาที่งบประมาณจะพออยู่ได้มากที่สุด และนั่นก็เป็นคำตอบเพิ่มมาว่า ฉันสามารถวางแผนชีวิตได้ ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่มีเพื่อนร่วมทางและไม่ได้สวยหรูมากนัก แต่ฉันก็ได้ไปรู้จักเพื่อนใหม่ในอีกที่ และได้เรียนรู้ที่จะวางแผนและเอาตัวรอดในต่างแดน นอกจากนั้นก็เป็นการเปิดหูเปิดตา เสาะหางานสถาปัตยกรรมตามความสนใจบ้าง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งประสบณ์การณ์ที่น่าจดจำ


ส่วนปิดเทอมที่ผ่านมา ฉันกลับบ้านที่อุบลไปพักผ่อนใช้ชีวิตอยุ่กับครอบครัว และนัดชวนเพื่อนเก่าไปเที่ยวน้ำตก นอนกางเต๊นท์ตั้งแค๊มผิงไฟซักคืน ที่อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย ซึ่งนี่ก็เป็นปิดเทอมเล็กๆที่ฉันมีความสุข และยังได้ทบทวนเกิดโครงการในอนาคตเกี่ยวกับที่บ้าน เพราะบ้านของฉัน มีบ้านหลังข้างใน เดิมทีเป็นบ้านคุณตาคุณยาย ซึ่งท่านทั้งคู่ได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เหลือบ้านทิ้งไว้ ไม่มีคนอยู่ พ่อฉันก็ขึ้นไปนอนบ้างเป็นครั้งคราว และนี่แหล่ะคืออนาคตในบั้นปลายชีวิตฉัน

 ฉันวางแผนไว้ว่า เมื่อเรียนจบ ฉันจะทำงานถาปัต เก็บตังพอสมควร แล้วเรียนต่อต่างประเทศ หาเงินเพิ่มอีกซักก้อน แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน ปรับปรุงลงทุนออกแบบทำบ้านหลังในของตายายให้เป็นเกสเฮ้าส์ ด้วยประสบณ์การที่ร่ำเรียนมา อาจจะเปิดบริษัทสถาปนิก โดยร่วมมือกับพี่ชายที่เป็นวิศวะกร และอาจเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีควบคู่ไปด้วย  โอเค!  นี่อาจจะเป็นฝันที่ห่างไกลไปซักหน่อย แต่ที่แน่ๆฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตทำมาหากินที่บ้านเกิดนั่นเอง

สำหรับอนาคตอันใกล้ปิดเทอมที่จะถึงนี้ ฉันวางแผนจะไปฝึกงานที่ประเทศอินเดีย อาจจะที่มุมไบ หรือ แชงดิกา ซึ่งอินเดียเป็นประเทศที่ฉันสนใจอยากจะไปสัมผัสมานาน ฉันไปครั้งนี้เพื่อหาประสบการณ์การทำงานในต่างแดนทางด้านสถาปัตยกรรม

ส่วนหัวข้อทีสิส ฉันสนใจเกี่ยวกับเรื่องกีฬาเอ็กส์ตรีม คิดว่าจะทำสถานที่สำหรับฝึกฝนกีฬาแนวดิ่ง สำหรับคนในเมือง ที่โหยหาการออกกำลังกายและความแปลกใหม่ โครงการนี้จึงน่าจะเป็นโจทย์หนึ่งที่จะตอบสนองความต้องการของคนเมืองได้อีกทาง


อ่านดูแล้ว...ชีวิตฉันดูจะเป็นชีวิตที่โลดแล่นหวือหวาพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นในชีวิตแบบนี้ก็เพราะ "โอกาส" เริ่มจากตัวฉันเอง ฉันเปิดโอกาสให้ตัวเองและยังใขว่คว้าหาโอกาสอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญฉันโชคดีที่มีพ่อแม่ที่คอยสนับสนุนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และตอนนี้ฉันก็พอใจในชีวิตที่เป็นอยู่นะ :)



นางสาวณัฐชา  ฤทธาภัย  54020021