


ชีวิตวัยเด็ก เป็นชีวิตที่ราบรื่นสนุกสนาน ด้วยความที่มีพี่ชาย จึงมักจะเล่นอะไรที่ค่อนข้างแมน ไม่ว่าจะมวยปล้ำ เกมเพล ดีดลุกแก้ว เตะบอล ชูทบาส ก็เล่นตามพี่ไปหมด ถึงกระนั้นฉันค่อนข้างเป็นน้องสาวที่กลัวพี่เพราะสมัยเด็กๆพี่ตัวอ้วนและตัวใหญ่ แต่อย่างไรพี่ชายก็คอยดูแลปกป้องฉันมาตลอด ฉันอยากกินอะไร พี่มักจะเป็นคนไปซื้อให้ ฉันจึงกลายเป็นเด็กขี้กลัว ไม่กล้าแม้แต่จะไปซื้อขนมด้วยตัวเอง แต่พี่และฉันก็มีทะเลาะกันบ้าง เมื่อทะเลาะจนเกิดการร้องไห้ ไม่ว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด พ่อก็จะไปหาก้านมะยมมาตีฉันกับพี่ทั้งคู่ เพื่อความเท่าเทียมและยุติสงครามให้เร็วที่สุด
ชีวิตวัยเรียนช่วงประถม ฉันมีโอกาศได้เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี โรงเรียนประจำจังหวัด
ระหว่างเรียนฉันรู้ตัวว่าชอบวิชาพละมากที่สุด เพราะตั้งแต่เด็ก พ่อมักจับพี่และฉันไปเล่นกีฬาโดยเฉพาะเทนนิส เนื่องจากพ่อเคยเป็นนักกีฬาเทนนิส และพ่อนี่แหล่ะเป็นคนสอนเทนนิสให้คนในครอบครัว และมักจะไปเล่นเทนนิสด้วยกันเกือบทุกๆเสาร์อาทิตย์ นับว่าเป็นกิจกรรมประจำสัปดาห์ของครอบครัว เพราะเหตุนี้ฉันจึงมีทักษะในการเล่นกีฬาค่อนข้างมาก เมื่อได้ลองจับกีฬาประเภทไหน ก็จะมีความชื่นชอบ ถึงแม้จะเล่นไม่เป็นก็จะพยายามเอาตัวเข้าไปคลุกคลี จนกระทั่งเล่นได้ชำนาน เพราะเป็นกิจกรรมที่ชื่นชอบที่สุด
นอกจากนั้น แม่มักจะเป็นคนผลักดันในเรื่องกิจกรรมค่อนข้างมาก แม่จับฉันให้เรียนรำตั้งแต่อนุบาล1 เพื่อที่ว่าฉันจะได้มีความสามารถพิเศษติดตัว และแม่ก็ยังจับให้ฉันเรียนดนตรีทั้งสากล ที่ฉันเลือกเรียนไวโอลินและดนตรีไทยที่ฉันเลือกเรียนขิม ฉันและพี่ได้เข้าชมรมดนตรีไทยประจำโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก พี่ชายเล่นระนาด ส่วนฉันเล่นขิม ไม่ว่าจะงานโรงเรียน งานประกวดแข่งขันดนตรี จนกระทั่งงานศพ ครูประจำชมรมมักจะเรียกให้ไปช่วยเล่นดนตรีไทยให้เสมอ เราสองคนจึงมีทักษะนี้ติดตัว จนกระทั่งนำไปใช้สอบความสามารถพิเศษเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช โรงเรียนประจำจังหวัดที่สอบเข้าค่อนข้างยาก

เข้าสู่ชีวิตมัธยม เป็นชีวิตที่มีความอิสระมากขึ้น ตั้งแต่ฉันเริ่มหัดขับขี่มอเตอร์ไซด์เป็น ก็ได้ขับไปเรียนเองทุกวัน การเรียนในช่วงชั้นมัธยมต้น ฉันตั้งใจเรียนมาก เป็นเด็กหน้าห้อง ทำเกรดได้ค่อนข้างดี กิจกรรมก็ไม่ขาด อยู่ชมรมดนตรีไทย ตำแหน่งมือขิมคนงามนั่งหน้าวง เป็นที่รู้กันว่าเมื่อใดมีงานโรงเรียนหรือประกวดแข่งขัน ต้องขออนุญาติคุณครูเพื่อไปเล่นดนตรีไทยเสมอๆ
ในขณะนั้น วิชาทางด้านศิลปะ ค่อนข้างมีความน่าสนใจสำหรับฉันพอสมควร ถึงจะเรียนสายวิทย์ แต่พอได้วาดรูป ทำงานศิลปะ ก็รู้สึกสนุกและทำได้ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ได้เน้นความสำคัญที่วิชานี้มาก เพราะตอนนั้นยังรู้สึกว่า อนาคตอยากทำงานสายอาชีพทางด้านสุขภาพ เช่น ทันตะ
แต่"จุดเปลี่ยน"แรกของชีวิตก็มาถึง เมื่อฉันได้มี"โอกาศ' ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ต่างแดน ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ม.1 และพ่อกับแม่ค่อนข้างสนับสนุนเรื่องภาษาเป็นอย่างมาก จึงให้โอกาศฉันได้ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ประเทศอังกฤษช่วงปิดเทอมกับโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเดินทางโดยปราศจากครอบครัว และต้องใช้ชีวิตต่างแดนพบเจอคนต่างถิ่นเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน แต่ฉันก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ที่ได้ออกไปเห็นโลกกว้าง
ที่อังกฤษฉันได้มีโอกาศไปสัมผัสเรียนที่ Solent Middle School ฉันรู้สึกว่าวิชาคณิตศาสตร์ง่ายมาก และมีความสุขสุดๆที่ได้แย่งเด็กฝรั่งยกมือตอบปัญหาคูณเลขแบบรัวๆ ซึ่งก็มีแค่วิชานี้ที่ดูเหนือกว่า พอเจอวิชาประวัติศาสตร์เข้าไปก็ถึงกับอึ้งเงียบ ฟังไม่ออก แต่ก็นั่งฟังเขาพูดไปเพลินๆไม่คิดอะไรมาก และฉันได้แสดงความสามารถในคืนCultureNightโดยการบรรเลงสีไวโอลินเพลงค้างคาวกินกล้วย และลอยกระทง พาฝรั่งรำวง สนุกสนานกันไป เมื่อกลับมาฉันรู้สึกตัวว่านิสัยเริ่มเปลี่ยนไป จากเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูด ก็เริ่มกล้าแสดงออกมากขึ้น เริ่มมีความเป็นผู้นำมากขึ้น
ช่วงมัธยมต้น ฉันก็ใช้ชีวิตนักเรียนสายวิทย์-คณิตไปตามหลักสูตร ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อจะสอบเข้ามัธยมปลายโรงเรียนเดิม ซึ่งตอนนั้นก็ยังคิดว่าอยากเรียนทันตะอยู่ จึงแน่วแน่ว่าจะเรียนต่อสายวิทย์-คณิตอย่างแน่นอน เพราะเป็นสายที่คิดว่ามีโอกาศเลือกศึกษาต่อได้มากกว่า
ในที่สุด "จุดเปลี่ยน"ที่สองได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผ่านพ้นชีวิตมัธยมต้น มาสู่มัธยมปลาย ฉันสอบเข้าเรียนสายวิทย์-คณิตได้ดั่งใจหวัง ช่วงนั้นฉันสนใจอยากไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ และได้ปรึกษากับพ่อแม่ ทั้งสองก็เห็นสมควร และให้โอกาศฉันได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปีการศึกษา
ระหว่างที่ฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะวัฒนธรรม สังคม และโรงเรียน ซึ่งมีความแตกต่างจากบ้านเราอย่างมาก ฉันเรียนโรงเรียนไฮสคูลแห่งหนึ่งในเมืองFruitport รัฐ Michigan การศึกษาที่นั่นเน้นความเข้าใจ และปฏิบัติจริง สามารถเลือกเรียนวิชาที่ตัวเองสนใจได้อย่างอิสระ จัดตารางเรียนได้ตามความต้องการของนักเรียน โดยโรงเรียนนี้แบ่งเป็น3เทอม เทอมแรกฉันเลือกเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์โลก ศิลปะ และพละ ฉันมีความสุขมากกับอาร์ตคลาส เพราะวิชานี้ มีห้องเรียนที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทางศิลปะอย่างครบครัน มีทั้งชอปเซรามิกส์ ที่เราได้ออกแบบปั้นถ้วยชาม และเข้าเตาอบเซรามิกส์ออกมาเป็นโปรดักส์ ซึ่งมันน่าทึ่งมาก มีเทคนิคทางศิลปะมากมายให้ทำส่ง ฉันชื่นชอบมากๆ และงานของฉันได้นำไปตั้งโชว์อีกด้วย ฉันจึงเริ่มรู้ตัวว่ามีความถนัดทางด้านศิลปะอยู่พอสมควร และชืนชอบในการออกแบบอีกด้วย
การใช้ชีวิตที่อเมริกา ฉันได้เพื่อนใหม่ๆมากมาย
ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตลอดทั้งปี ตั้งแต่ฤดูร้อนยันหิมะตก มีสุขบ้างทุกข์บ้าง ต้องปรับตัวมากมาย ได้ทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำหรือไม่มีในประเทศไทยมาก่อน จึงเป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตที่น่าจดจำเป็นอย่างมาก
เมื่อกลับมาไทย ฉันต้องเรียนซ้ำชั้น1ปี เพราะการไปแลกเปลี่ยน จึงกลายเป็นป้าแก่สุดในชั้นเรียน ตอนนั้นฉันเริ่มคิดถึงการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ผนวกกับการเรียนที่ไม่สนุกกับวิชา เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ จึงเริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่า เราถนัดอะไร เราชอบอะไร จึงลงเอยที่ คณะสถาปัตยกรรม ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนั้น หลังจากนั้นฉันจึงไปหาที่ติว ให้เร็วที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าฉันสามารถไปในทางนี้ได้จริงๆหรือไม่ ฉันได้ไปติวที่กวดวิชาความถนัดสถาปัตที่กรุงเทพ ขยันเทียวไปเรียนช่วงปิดเทอมซัมเมอร์เมื่อได้ลองติวและเรียนทักษะความถนัดถาปัดแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าจะพอไปได้ จึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ซึ่งก็ได้สอบหลายสนาม
สนามแรกคือ บางมด ซึ่งแม่ก็เชียร์ให้เข้าที่นี่อยู่แล้วพราะเป็นหลักสูตรอินเตอร์และใกล้บ้านมากๆ(บ้านหลังแรกที่กล่าวตอนต้น) ซึ่งฉันก็สอบติด แต่ท้ายที่สุดทุกคนก็เห็นตรงกันว่า ค่าเทอม50,000บาทแพงเกินไป ก็เลยลองสอบต่อที่อื่นอีกที ช่วงนั้นมีสอบตรงของจุฬา ฉันก็เลือกถาปัดอันดับแรก และทิ้งท้ายด้วยคุรุศิลป์ ซึ่งผลออกมาคะแนนถึงคุรุศิลป์จุฬา แต่ไม่ถึงถาปัด จึงตัดสินใจไม่ยื่น และหันมาลุ้นสอบตรงที่ลาดกระบัง สุดท้ายก็ทำสำเร็จ และได้เริ่มต้นชีวิตมหาลัยที่นี่

![]() |
พอได้ทำความรู้จักกับสถานที่แล้ว เรื่องเกี่ยวกับทางด้านสาขาวิชาที่เรียน ยอมรับว่าโหดและหนักมาก แต่ปี1 ในความหนักหนาก็แฝงไปด้วยความสนุกสนานอยู่ ไม่ว่าจะวิชาวิชวล ดีไซน์ เป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก และด้วยกิจกรรมของคณะ ทำให้ฉันยังรู้สึกเพลิดเพลินกับการเรียนในสาขาวิชานี้อยู่พอควร
พอเข้าปี2 เมื่อเริ่มมีโปรเจคต่างๆรุมเร้าเข้ามา และวิชาคอนสตรักเจอร์ที่ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำให้เกิดอาการณ์ท้อ เริ่มมีความเครียด ช่วงแรกๆถึงกับร้องไห้โฮ เริ่มครุ่นคิดและตั้งคำถามว่าเรามาถูกทางแล้วหรือ เราจะเรียนรอดต่อไปได้หรือไม่ แต่ที่ทำให้ยังอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจที่บ้าน และความช่วยเหลือปรึกษาที่ดีจากพี่รหัส ที่ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาก ที่นี่ก็ดีเช่นนี้ด้วยระบบพี่น้องที่เหนียวแน่น และอาจารย์ที่ดูแลเอาใจใส่ ฉันจึงพยายามพัฒนาตนเอง และไม่คิดที่จะหันเหไปทางอื่น เพราะเชื่อว่าตัวเองยังพยายามไม่พอ จึงเริ่มเข้าหาเพื่อนคนที่เก่งๆ และให้เพื่อนช่วยสอนทักษะบางอย่างที่เราขาด ก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะไปต่อ

ปิดเทอม 6 เดือนที่ผ่านมา ฉันตัดสินใจพิสูจน์ตัวเองในด้านประสบการณ์ชีวิตและการเอาตัวรอด จึงตัดสินใจฝึกงานเพื่อหาเงินเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศซักที่ด้วยตัวคนเดียว ในที่สุดฉันฝึกงานอยู่3เดือนเต็มจนเก็บตังได้ และเลือกที่จะไปประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลาที่งบประมาณจะพออยู่ได้มากที่สุด และนั่นก็เป็นคำตอบเพิ่มมาว่า ฉันสามารถวางแผนชีวิตได้ ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่มีเพื่อนร่วมทางและไม่ได้สวยหรูมากนัก แต่ฉันก็ได้ไปรู้จักเพื่อนใหม่ในอีกที่ และได้เรียนรู้ที่จะวางแผนและเอาตัวรอดในต่างแดน นอกจากนั้นก็เป็นการเปิดหูเปิดตา เสาะหางานสถาปัตยกรรมตามความสนใจบ้าง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งประสบณ์การณ์ที่น่าจดจำ
ส่วนปิดเทอมที่ผ่านมา ฉันกลับบ้านที่อุบลไปพักผ่อนใช้ชีวิตอยุ่กับครอบครัว และนัดชวนเพื่อนเก่าไปเที่ยวน้ำตก นอนกางเต๊นท์ตั้งแค๊มผิงไฟซักคืน ที่อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย ซึ่งนี่ก็เป็นปิดเทอมเล็กๆที่ฉันมีความสุข และยังได้ทบทวนเกิดโครงการในอนาคตเกี่ยวกับที่บ้าน เพราะบ้านของฉัน มีบ้านหลังข้างใน เดิมทีเป็นบ้านคุณตาคุณยาย ซึ่งท่านทั้งคู่ได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เหลือบ้านทิ้งไว้ ไม่มีคนอยู่ พ่อฉันก็ขึ้นไปนอนบ้างเป็นครั้งคราว และนี่แหล่ะคืออนาคตในบั้นปลายชีวิตฉัน
ฉันวางแผนไว้ว่า เมื่อเรียนจบ ฉันจะทำงานถาปัต เก็บตังพอสมควร แล้วเรียนต่อต่างประเทศ หาเงินเพิ่มอีกซักก้อน แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน ปรับปรุงลงทุนออกแบบทำบ้านหลังในของตายายให้เป็นเกสเฮ้าส์ ด้วยประสบณ์การที่ร่ำเรียนมา อาจจะเปิดบริษัทสถาปนิก โดยร่วมมือกับพี่ชายที่เป็นวิศวะกร และอาจเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีควบคู่ไปด้วย โอเค! นี่อาจจะเป็นฝันที่ห่างไกลไปซักหน่อย แต่ที่แน่ๆฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตทำมาหากินที่บ้านเกิดนั่นเอง
สำหรับอนาคตอันใกล้ปิดเทอมที่จะถึงนี้ ฉันวางแผนจะไปฝึกงานที่ประเทศอินเดีย อาจจะที่มุมไบ หรือ แชงดิกา ซึ่งอินเดียเป็นประเทศที่ฉันสนใจอยากจะไปสัมผัสมานาน ฉันไปครั้งนี้เพื่อหาประสบการณ์การทำงานในต่างแดนทางด้านสถาปัตยกรรม
ส่วนหัวข้อทีสิส ฉันสนใจเกี่ยวกับเรื่องกีฬาเอ็กส์ตรีม คิดว่าจะทำสถานที่สำหรับฝึกฝนกีฬาแนวดิ่ง สำหรับคนในเมือง ที่โหยหาการออกกำลังกายและความแปลกใหม่ โครงการนี้จึงน่าจะเป็นโจทย์หนึ่งที่จะตอบสนองความต้องการของคนเมืองได้อีกทาง
อ่านดูแล้ว...ชีวิตฉันดูจะเป็นชีวิตที่โลดแล่นหวือหวาพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นในชีวิตแบบนี้ก็เพราะ "โอกาส" เริ่มจากตัวฉันเอง ฉันเปิดโอกาสให้ตัวเองและยังใขว่คว้าหาโอกาสอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญฉันโชคดีที่มีพ่อแม่ที่คอยสนับสนุนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และตอนนี้ฉันก็พอใจในชีวิตที่เป็นอยู่นะ :)
นางสาวณัฐชา ฤทธาภัย 54020021